ยกกระชับ ปรับรูปร่าง เพื่อหุ่นสวยด้วยเทคโนโลยี Body Thermatight
Body Thermatight เป็นนวัตกรรมที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน นอกจากจะช่วยรักษาปัญหาผิวหย่อนคล้อย ช่วยให้ผิวกระชับได้แล้ว ยังช่วยสลายไขมัน เซลลูไลท์ที่เป็นสาเหตุของผิวเปลือกส้ม ทำให้ผิวแลดูเต่งตึง น่ามองอีกด้วย ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ Body Thermatight กันมากขึ้นนะคะ

มาทำความรู้จักไขมันส่วนเกิน คืออะไร
ไขมันส่วนเกิน คือไขมันที่มีปริมาณมากจนเกินไป แล้วเกิดการสะสม พอกพูนมากขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่พบได้ใน 3 กรณีหลัก ๆ คือ
- Subcutaneous Fat
เป็นไขมันที่เกิดจากการสะสม และรวมตัวกันมากขึ้นในบริเวณผิวหนัง และกล้ามเนื้อ พบในส่วนของต้นขา ต้นแขน สะโพก หน้าท้อง หรือคอ ซึ่งจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับรูปร่าง และความสวยงามของร่างกาย โดยสามารถสังเกตได้จากขนาดของรอบเอว กล่าวคือผู้หญิงควรมีรอบเอวไม่เกิน 35 นิ้ว ส่วนผู้ชายควรมีรอบเอวไม่เกิน 40 นิ้ว ถ้ามากกว่านี้ถือว่ามีไขมันสะสมมากจนเกินไป
- Visceral Fat
เป็นไขมันในช่องท้องมักสะสมอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่น ตับ ไต หัวใจ ปอด ลำไส้ ทั้งยังขัดขวางการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ด้วย นับเป็นอันตรายต่อสุขภาพระยะยาว เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรัง และโรคร้ายแรงตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันพอกตับโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
- ไขมันส่วนเกินในหลอดเลือด
ไขมันส่วนเกินในหลอดเลือด หรือที่เราเรียกกันว่า “คอเลสเตอรอล” ซึ่งมีหลาดชนิด แต่ที่เรามักคุ้นเคยกันมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ
- LDH (Low-Density Lipid Protein) เป็นคอเลสเตอรอลที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย
- HDL (High-Density Lipid Protein) ไขมันเหล่านี้จะเข้าไปสะสมในผนังหลอดเลือดเมื่อรับประทานอาหารประเภทที่มีไขมันสูงเป็นประจำ เมื่อสะสมกันนานวันเข้าก็จะกลายเป็นครบตะกรัน หรือพลัค(Plaque) ยึดเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบอุดตัน อักเสบ หรือเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคอื่น ๆ เช่นภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจขาดเลือดได้
ไขมันส่วนเกินมีสาเหตุมาจากไหน
ไขมันส่วนเกิน เกิดจากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากไขมัน รวมถึงแป้ง และน้ำตาลมากเกินกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ซึ่งในกลไกลการทำงานของร่างกายคนเรานั้น เมื่อมีสารอาหาร หรือพลังงานหลงเหลืออยู่ ร่างกายจะเปลี่ยนสารอาหาร และพลังงานเหล่านั้นให้กลายเป็นไขมันสะสมเอาไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่เมื่อไขมันเหล่านั้นมีการสะสมนานวันเข้าก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกิน เนื่องจากร่างกายของคนเรามีความจำกัด ทำให้ไม่สามารถขับไขมันออกมา หรือดึงไปใช้เป็นพลังงานได้ทั้งหมดนั่นเอง โดยมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- กรรมพันธุ์
โรคอ้วน รวมถึงไขมันส่วนเกินสะสมมาก สามารถเกิดได้จากสาเหตุทางพันธุกรรม ที่พ่อแม่ หรือบรรพบุรุษมีภาวะอย่างเดียวกัน แม้จะรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยก็ตาม แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดไขมันสะสมได้มากถึง 25%
เพศ และอายุ เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ระบบการเผาผลาญในร่างกาย หรือเมตาบอลิซึม ( Metabolism ) ก็จะลดน้อยลง จากผลการศึกษาพบว่าผู้ชายมักจะมีไขมันสะสมในช่องท้องมากกว่าผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงมักมีไขมันส่วนเกินบริเวณต้นขา สะโพก และแขนมากกว่าผู้ชาย
- การรับประทานอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลมากจนเกินไป
เมื่อรับประทานอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมันมากเกินไปในแต่ละวัน ท้ายที่สุดแล้วร่างกายจะเปลี่ยนสารอาหารเหล่านั้นให้กลายเป็นไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเนื่องจากถูกดึงไปใช้ไม่หมด รวมถึงการรับประทานโปรตีนในปริมาณที่น้อย ทำให้สมองหลั่งฮอร์โมน Ghrelin น้อยลง และเกิดอาการหิวบ่อย
- ไม่ออกกำลังกาย
การที่ไม่ออกกำลังกายเพื่อเร่งการเผาผลาญพลังงานไขมัน ทำให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง ส่งผลให้เกิดไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ได้ และสามารถพองขยายออกได้ไม่รู้จบ ทำให้มีสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นด้วย
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ สามารถทำให้ไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น
- ระบบฮอร์โมน
ในร่างกายของคนเรามีปริมาณฮอร์โมนที่แตกต่างกัน ซึ่งปริมาณฮอร์โมนดังกล่าวนี้เป็นหนึ่งปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการสร้างไขมันสะสมตามจุดต่างๆของร่างกายได้
ไขมันส่วนเกินมีทั้งหมดกี่ชนิด
- ไขมันส่วนเกินในหลอดเลือด
คอเลสเตอรอลเป็นคำที่ใช้เรียกไขมันรูปแบบหนึ่งที่พบภายในเลือด สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด แต่ชนิดที่คนทั่วไปคุ้นเคยอาจมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ LDH (Low-Density Lipid Protein) และ HDL (High-Density Lipid Protein) ซึ่งไขมันในหลอดเลือดชนิด LDL เป็นคอเลสเตอรอลชนิดที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เมื่อกินอาหารไขมันสูงเป็นประจำ ไขมันชนิดนี้จะเข้าไปสะสมภายในผนังหลอดเลือด เมื่อเวลาผ่านไปไขมันจะกลายเป็นคราบตระกรัน หรือพลัค (Plaque) ซึ่งคราบนี้จะยึดเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ หรืออุดตัน หลอดเลือดอักเสบ และเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) โดยภาวะหลอดเลือดแข็งจะนำไปสู่โรคอื่น ๆ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะหัวใจขาดเลือด
- ไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง
ไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง (Subcutaneous Fat) เป็นตัวการที่ทำให้หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน แก้ม คอ และร่างกายส่วนอื่น ๆ มีสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้น ไขมันชนิดนี้จะสะสมอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังก่อนถึงชั้นกล้ามเนื้อ ยิ่งไขมันชนิดนี้มาก สัดส่วนก็จะขยายมากขึ้นไปด้วย แน่นอนไขมันส่วนเกินชนิดนี้ย่อมส่งผลต่อรูปร่าง และความมั่นใจ อีกทั้งไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนังยังเป็นสัญญาณเตือนของความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น
- ไขมันส่วนเกินในช่องท้อง
ไขมันส่วนเกินในช่องท้อง (Visceral Fat) ไขมันสะสมชนิดนี้อาจไม่ส่งผลต่อรูปร่างสักเท่าไหร่ แต่อันตรายต่อสุขภาพ เพราะไขมันส่วนเกินชนิดนี้จะไปเกาะอยู่ตามอวัยวะภายในช่องท้อง ทั้งกระเพาะอาหาร ลำไส้ และตับ ซึ่งอวัยวะเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย เมื่อสะสมนานวันเข้าก็อาจทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ และเสี่ยงต่อโรคมากขึ้น
- ไขมันที่จำเป็น (Essential fat)
นับเป็นไขมันที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างร่างกายเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีผลต่อระบบการทำงานของร่างกายได้โดยตรง ส่วนใหญ่มักจะสะสมอยู่บริเวณไขกระดูก เยื่อหุ้มเซลล์ สมอง กระดูกสันหลัง รวมถึงเยื่อหุ้มอวัยวะต่าง ๆ ปริมาณแตกต่างกันระหว่างชาย และหญิง ในผู้ชายจะมีประมาณ 3% ของน้ำหนักตัว และในผู้หญิงจะมีประมาณ 12% ของน้ำหนักตัว
ประโยชน์ของไขมันมีอะไรบ้าง
ไขมัน หลายคนมักจะนีกถึงโทษ หรือผลเสียเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ไขมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้านเช่นกัน อาทิเช่น
- เป็นตัวช่วยปกป้องไม่ให้อวัยวะภายในร่างกายเกิดการกระทบกระเทือน หรือเสียดสีกัน
- ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียพลังงาน และความร้อน
- ป้องกันร่างกายจากความหนาวเย็น
- ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินไปใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย
วิธีการไหนบ้างที่ช่วยลดไขมันส่วนเกินได้ดี
หุ่นสวยด้วยหัตถการทางการแพทย์
- ฉีดสลายไขมัน
การฉีดแฟตต่าง ๆ คือการใช้ตัวยาฉีดเข้าในบริเวณที่ต้องการลดไขมันส่วนเกินใต้ชั้นผิวหนัง จะเห็นผลได้ดีกับตำแหน่งที่มีไขมันไม่เยอะ ตำแหน่งเล็ก ๆ หรือตำแหน่งที่เครื่องมือดูดไขมันไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งตำแหน่งที่นิยมมาก ๆ ก็จะมีเหนียง, แก้ม หรือน่อง เป็นต้น ส่วนอีกหนึ่งหนึ่งคือไขมันอยู่ลึกมาก อยู่ในที่แคบมาก ๆ จนเครื่องมือดูดไขมันมันเข้าถึงไม่ได้ หลังจากที่คนไข้ดูดไขมันไปแล้ว
- การดูดไขมัน (Liposuction)
เป็นหนึ่งวิธีการที่คนนิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เป็นเสมือนทางลัดในการดูดไขมัน โดยมีหลักการคือแพทย์จะใช้เครื่องมือที่มีพลังงานที่แตกต่างกันเข้าไปทำให้ไขมันแตกตัวก่อน จากนั้นจึงดูดออกจากร่างกาย โดยเครื่องมือที่ใช้มีให้เลือกหลายประเภท ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน และบริเวณที่ต้องการดูดไขมันออกมา ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ เช่น เครื่องดูดไขมันพลังน้ำ เครื่องดูดไขมันเลเซอร์ หรือเครื่องดูดไขมันพลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือในการสลาย หรือดูดไขมันได้ครั้งละมากกว่า 1 ประเภท โดยจะต้องเข้าใจว่า การดูดไขมันไม่ใช่การลดความอ้วน แต่เป็นการช่วยกระชับรูปร่างให้มีความสมส่วนมากขึ้นเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขสำหรับผู้ที่ต้องการดูดไขมัน ดังนี้
- ต้องมีสุขภาพแข็งแรง
- ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในขณะที่กำลังดูดไขมัน
- มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน นอกจากการมีน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ระดับ และปริมาณไขมันควรอยู่ระหว่าง 18-25 จึงจะสามารถทำการดูดไขมันได้
- สภาพจิตใจดี
- การทำ Body Thermatight
คือการยกกระชับ และปรับรูปร่าง สามารถแก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด การทำงานจะอาศัยการส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ลงลึกไปยังชั้นผิว จากชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้นไขมันด้วยคลื่นความถี่ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความร้อนใต้ผิวในอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส จนกระทั่งเกิดการหดรัดตัวของเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่ออื่นของผิวหนัง ส่งผลให้โครงสร้างผิวถูกปรับเปลี่ยนให้แข็งแรงขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในเซลล์ไขมัน (Adipocyte cells) และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอีกด้วย
หุ่นสวยด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- ทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับการสะสมของไขมัน
การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการสะสมของไขมัน จะช่วยให้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างถูกต้อง และระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารในกลุ่มแป้ง น้ำตาล และไขมัน ซึ่งถ้าหากรับประทานมากเกินความจำเป็นของร่างกาย สามารถเกิดการสะสมตามส่วนต่าง ๆ และส่งผลเสียในระยะยาวได้
- ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
หากคุณมีน้ำนักตัวมากเกินไป หรือมีการสะสมของไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แนะนำให้ตั้งเป้าหมายในการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง และค่อยเป็นค่อยไป ตั้งเป้าน้ำหนักที่ต้องการลด รวมถึงรอบเอวที่ต้องการด้วย จากนั้นให้กำหนดปริมาณพลังงาน และสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เป็นหัวใจสำคัญในการลดไขมันที่สะสมอยู่ได้ ทั้งยังช่วยให้สุขภาพดีขึ้นด้วย โดยให้เลือกรับประทานอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป อาหารที่มีกากใยมากขึ้น รวมถึงผักผลไม้ และที่สำคัญควรงดอาหารจำพวกไขมันสูง น้ำหวาน หรืออาหารแปรรูปประเภทต่าง ๆ
- ออกกำลังกายให้มากขึ้น
ยิ่งขยับร่างกายบ่อยมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการช่วยให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้นเท่านั้น เท่ากับเป็นการลดโอกาสที่ไขมันจะเข้าไปสะสมตามส่วนต่าง ๆ ได้ด้วย โดยแนะนำให้ออกกำลังกายในแบบที่เรียกว่าคาร์ดิโอ เช่น การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ และเล่นกีฬาต่อเนื่องกันนานกว่า 20-30 นาที หากทำได้เช่นนี้ ร่างกายจะดึงเอาไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงาน และที่สำคัญให้เน้นการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ สามารถเพิ่มได้ด้วยการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้ออย่างพวกบอดี้เวท (Bodyweight Training) และการยกน้ำหนัก (Weight Lifting) โดยให้ทำควบคู่กับการคุมอาหารร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไขมัน และยาลดความอ้วน
เป็นสิ่งที่อันตรายที่จะลดน้ำหนักแบบรวบรัดตัดตอนด้วยการใช้ยาลดไขมัน หรือยาลดความอ้วนที่มีขายเกลื่อนตลาดออนไลน์ โดยไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหาร และยา อาจส่งผลข้างเคียงอันตรายถึงชีวิตได้
- งดการสูบบุหรี่
เนื่องจากสารพิษที่อยู่ในบุหรี่ สามารถส่งผลกระทบต่อระบบการจัดการกับไขมัน และพลังงานภายในร่างกาย ทำให้เกิดไขมันสะสมพอกพูนขึ้นได้ และยังทำให้เกิดเส้นเลือดอุดตันได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลให้สัญญาณความอิ่ม ความหิว และความอยากอาหารของร่างกายทำงานผิดปกติ นอกจากนั้นการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากในแต่ละครั้งร่วมกับกับแกล้มต่าง ๆ ยิ่งทำให้ได้รับพลังงานมากเกินขนาด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เนื่องจากน้ำ ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย สามารถช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญปริมาณของแคลอรี่ได้มากขึ้น และช่วยลดการสะสมของปริมาณไขมันส่วนเกินในร่างกายได้ และนอกจากนั้น น้ำยังช่วยลดความอยากอาหาร ช่วยควบคุมไม่ให้เรารับประทานอาหารมากจนเกินความพอดี
- พักผ่อนให้เพียงพอ
เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายทำงานผิดปกติ ส่งผลโดยตรงต่อระบบการเผาผลาญอาหาร ทำให้ร่างกายมีการต่อต้านอินซูลิน ทำให้การเผาผลาญกลูโคสลดลงด้วย ดังนั้นจึงทำให้มีการอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำพลังงานมาใช้ เสี่ยงต่อการเกิดไขมันสะสมได้ง่ายขึ้น
- หลีกเลี่ยงความเครียด
เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่มีชื่อว่า “คอร์ติซอล” (Cortisol) ออกมา ซึ่งถ้ามีการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้มากจนเกินไปจะส่งผลต่อปริมาณน้ำตาล และอินซูลินในเลือด ทำให้เกิดความอยากอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ทำให้ระบบการเผาผลาญแย่ลง ทั้งยังทำให้ไขมันเกิดการสะสมมากขึ้นด้วย
Body Thermatight คืออะไร
Body Thermatight คือการยกกระชับ และปรับรูปร่าง สามารถแก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด การทำงานจะอาศัยการส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ลงลึกไปยังชั้นผิว จากชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้นไขมันด้วยคลื่นความถี่ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความร้อนใต้ผิวในอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส จนกระทั่งเกิดการหดรัดตัวของเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่ออื่นของผิวหนัง ส่งผลให้โครงสร้างผิวถูกปรับเปลี่ยนให้แข็งแรงขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในเซลล์ไขมัน (Adipocyte cells) และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอีกด้วย ที่สำคัญวิธีการรักษาด้วย Body Thermatight ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดศัลยกรรมแต่อย่างใดจึงไม่ต้องพักฟื้น และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้วค่ะ
Body Thermatight เหมาะกับใคร
- เหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องของเซลลูไลท์
- เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
- เหมาะกับคนที่ต้องการลดสัดส่วน
- เหมาะกับคนที่ต้องการยกกระชับปรับรูปร่าง
อย่างไรก็ตามในขณะที่ทำคนไข้กำลังเข้ารับบริการ จะรู้สึกผ่อนคลายเหมือนการนวดอุ่น ๆ เล็กน้อย หัตถการนี้ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดเลยค่ะ
Body Thermatight ใช้ระยะเวลาในการทำนานไหม
ระยะเวลาในการรักษาด้วย Body Thermatite ใช้เวลาประมาณจุดละ 30-40 นาทีค่ะ ซึ่งสามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พอเข้าสู่ครั้งที่ 3-6 ก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเซลลูไลท์ค่ะ หากเข้ารับบริการอย่างต่อเนื่องประมาณ 10-12 ครั้ง จะเห็นผลการรักษษาเต็มที่ หลังจากนั้นเพื่อผลในระยะยาวสามารถทำทุก 1-3 เดือนแล้วแต่บุคคลนะคะ
Body Thermatight สามารถทำบริเวณใดได้บ้าง
- บริเวณต้นแขน
- บริเวณแผ่นหลัง
- บริเวณหน้าท้อง
- บริเวณสะโพก เอว ก้น
- บริเวณต้นขา น่อง
ผลลัพธ์หลังทำ Body Thermatight
- เซลลูไลท์ลดลง และสัดส่วนกระชุบมากยิ่งขึ้น
- ผิวเรียบเนียน ไม่เป็นเปลือกส้ม
- ไม่มีแผล ไม่ใช้เข็ม ไม่เจ็บ ไม่บวม

ข้อดีของการทำ Body Thermatight
- เห็นผลทันทีหลังการรักษา ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 3 - 6 เดือน
- ให้ผลลัพธ์ต่อเนื่องยาวนาน เนื่องจากแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ถึงต้นตอ
- คนไข้จึงรู้สึกผ่อนคลาย และไม่เจ็บปวดระหว่างการรักษา ทำให้สามารถรักษาได้อย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ใช้เวลารักษาเพียง 30 - 45 นาทีเท่านั้น
- ตัวเครื่องได้รับมาตารฐาน มีความปลอดภัยสูง
- สามารถกระชับสัดส่วนทั่วบริเวณลำตัว หน้าท้อง ท้องแขน หรือต้นขาได้อีกด้วย
Body Thermatight ตอบโจทย์ในการกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างไร
การยกกระชับ และปรับรูปร่าง สามารถแก้ปัญหาผิวหนังหย่อนคล้อยโดยไม่ต้องผ่าตัด การทำงานจะอาศัยการส่งพลังงานคลื่นวิทยุ (Monopolar RF) ลงลึกไปยังชั้นผิว จากชั้นหนังแท้ไปจนถึงชั้นไขมันด้วยคลื่นความถี่ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความร้อนใต้ผิวในอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส จนกระทั่งเกิดการหดรัดตัวของเส้นใยคอลลาเจน อีลาสติน และเนื้อเยื่ออื่นของผิวหนัง ส่งผลให้โครงสร้างผิวถูกปรับเปลี่ยนให้แข็งแรงขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในเซลล์ไขมัน (Adipocyte cells) และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอีกด้วย ที่สำคัญวิธีการรักษาด้วย Body Thermatight ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดศัลยกรรมแต่อย่างใดจึงไม่ต้องพักฟื้น และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แถมระยะเวลาในการรักษาด้วย Body Thermatite ใช้เวลาประมาณจุดละ 30-40 นาทีค่ะ ซึ่งสามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง พอเข้าสู่ครั้งที่ 3-6 ก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเซลลูไลท์ค่ะ
ขั้นตอนการทำหัตถการ
- พบแพทย์เพื่อประเมิน และวิเคราะห์ปัญหาของใบหน้าเบื้องต้น
- จากนั้นแพทย์จะทา Cooling Gel หรือเจลเย็น เพื่อบรรเทาอาการ ไม่ให้ใบหน้ารู้สึกร้อนเกินไป
- แพทย์จะใช้เครื่องบอดี้เทอร์มาไทท์ถูวนรอบ ๆ บริเวณที่ต้องการ โดยจะใช้เวลาต่อครั้งประมาณ 30 – 45 นาที เท่านั้นค่ะ
วิธีการดูแลตัวเองหลังการรักษา
การดูแลตัวเองหลังเข้ารับการทำหัตถการนับว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ หากคนไข้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่กับเราได้ยาวนานขึ้นนั่นเองค่ะ ในหัวข้อนี้จะพาไปดูกันนะคะว่า หลังทำหัตถการไปแล้ว คนไข้ควรดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง
- ดื่มน้ำในปริมาณมาก
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ทานยาแก้ปวดทันที หากมีอาการผิดปกติบริเวณที่รักษา หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบมาพบแพทย์ทันที
- ส่วนระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลอยู่ในช่วง 1-3 วัน ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล
รีวิวลูกค้า