เมโสกัน (Meso Gun) เทคโนโลยีช่วยกู้ผิวหน้าใสแบบเร่งด่วน
ปัญหาสิว ริ้วรอยต่าง ๆ ผิวแห้งกร้าน ติดหน้าไม่ติด ส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากการที่ผิวของเราขาดความชุ่มชื้น สุขภาพผิวไม่แข็งแรง จริงแล้วปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือการเลือกใช้ผลิคภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความอิ่มน้ำให้กับผิว แต่วิธีการเหล่านี้อาจเห็นผลช้าไม่ทันใจ ดังนั้นวิธีที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแบบเห็นผลรวดเร็ว ชัดเจน ก็คือการทำหัตถการ “เมโสกัน” (Meso Gun) ซึ่งหัตถการนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยกู้ผิวสวยได้หลายระดับ ใบหน้าดูฉ่ำวาวสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ
เมโสกัน (Meso Gun) คืออะไร
เมโสกัน (Meso Gun) คือ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาผิวต่าง ๆ โดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยฟิ้นฟู ปรับสภาพผิวให้ใบหน้าดูขาวใสมีออร่าขึ้นทันที ผิวหน้าดูฉ่ำวาว สุขภาพดี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินในชั้นผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ให้ผิวดูเรียบเนียนมากขึ้นอย่างไรก็ตามเมโสกัน แตกต่างจากการฉีดเมโสแบบเดิม ๆ ด้วย เพราะหัตถการนี้จะใช้ไมโครชิพร่วมกับหัวเข็มขนาดนาโนคริสตัลจำนวนมากมาย เพื่อเป็นตัวนำพาสารอาหาร และตัวยาที่จำเป็นเข้าสู่ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ทำให้เห็นผลลัพธ์เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย
ผิวหน้าหมองคล้ำเกิดจากอะไร
ผิวหน้าหมองคล้ำเป็นปัญหากวนใจสำหรับใครหลาย ๆ คน ผิวหมองคล้ำสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต สภาพแวดล้อมรอบตัวต่าง ๆ สภาพอากาศ รวมไปถึงความเครียด เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดหน้าหมองคล้ำ และสีผิวไม่สม่ำเสมอ ซึ่งสาเหตุหน้าหมองคล้ำสามารถเกิดได้ทั้งปัจจัยภายนอก และภายใน ได้แก่
ปัจจัยภายนอก
- มลภาวะในชีวิตประจำวัน
การที่ต้องเผชิญกับสภาวะมลพิษทางอากาศ ทั้งฝุ่นควัน PM 2.5 มลพิษจากควันรถ โรงงาน เป็นต้น มลภาวะเหล่านี้ทำให้เกราะความชุ่มชื้นของผิวหน้าเราลดลง สารอนุภาคละอองฝุ่นที่มีขนาดเล็กสามารถผ่านเข้าสู่ผิวหนังเราได้ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิว ซึ่งนำไปสู่การเกิดผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำบนใบหน้า ผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย ผิวมัน และเกิดริ้วรอยได้
- สภาพอากาศ
ปัจจัยสภาพอากาศเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวหน้าหมองคล้ำได้ เช่น ความชื้นต่ำ ลมแรง อากาศที่หนาวเย็น และแสงแดดยูวี
- แสงแดด รังสียูวีเอ (UVA) และรังสียูวีบี (UVB)
มาพร้อมกับแสงแดดสามารถทำร้ายผิวได้ โดยรังสียูวีเอส่งผลให้เกิดผิวหมองคล้ำ ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำแดด ฝ้า กระ และจุดด่างดำ เพราะแสงจะกระตุ้นการสร้างเมลานิน แต่ไม่ทำให้เกิดการอักเสบ รังสียูวีบีส่งผลให้เกิดผิวที่แก่ก่อนวัย ผิวเกรียมแดด ผิวหนังอักเสบ อีกทั้งยังก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
- อากาศหนาวเย็น
หากอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน จะทำให้ผิวหนังของเราขาดความชุ่มชื้น ส่งผลให้ผิวแห้ง และแตกเป็นขุย และเกิดผิวหน้าที่หมองคล้ำตามมา
- ไม่ผลัดเซลล์ผิว
ขั้นตอนการผลัดเซลล์ผิวเป็นหนึ่งในขั้นตอนการดูแลผิวพรรณที่ใครหลาย ๆ คนมักหลงลืมกัน โดยปกติแล้วเซลล์ผิวหนังที่ตายมักจะหลุดลอกออกไปทุก 28 วัน หากร่างกายมีกระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่ช้าอาจส่งผลให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตาย รวมไปถึงการสะสมของขี้ไคล เหงื่อ มลภาวะที่ตกค้างอยู่บนใบหน้า ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ หยาบกร้าน ดูดซึมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวไม่เต็มที่ดังนั้นเราจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลัดเซลล์ผิวเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าดำคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอได้
- การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพภายในแล้ว ยังส่งผลร้ายต่อผิวพรรณของเราอีกด้วย เนื่องจากสารคาร์บอนมอนอกไซด์ และทาร์ ในควันบุหรี่ทำให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดลดลง เป็นเหตุให้อนุมูลอิสระเพิ่มมากขึ้น
หากได้รับสารพิษนี้ติดต่อกันไปนาน ๆ ก็จะทำให้การสร้างเม็ดเลือดแย่ลง ไม่สามารถผลักวิตามินไปสู่ผิวได้ การผลัดเซลล์ผิวก็อาจเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ หย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย หน้าโทรม และผิวหยาบกระด้าง รวมไปถึงการสูบบุหรี่ยังทำให้การสร้างคอลลาเจนในผิวถูกทำลายอีกด้วย
- การดื่มน้ำไม่เพียงพอ
การดื่มน้ำที่ไม่เพียงพอต่อร่างกายสามารถส่งผลให้ประสิทธิภาพการไหลเวียนของเลือดลดลง ส่งผลให้ผิวพรรณดูซีด หมอง ไม่สดใส ผิวที่ขาดน้ำอาจทำให้ผิวมีแนวโน้มเกิดความหย่อนคล้อย เหี่ยวย่น และขรุขระ อาการเหล่านี้เป็นสาเหตุก่อให้เกิดผิวหน้าหมองคล้ำ
- การบำรุงผิวพรรณ
ผิวหน้าหมองคล้ำสามารถเกิดได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณที่มากเกินไป และน้อยเกินไป หากเราขาดการบำรุงผิว ผิวหน้าของเราก็จะแห้งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส รวมไปถึงผิวแห้งแตกลาย ไม่เรียบเนียน แต่ในทางกลับกันหากมีการบำรุงผิวที่มากเกินไป เช่นการใช้ครีมบำรุง คลีนเซอร์ โทนเนอร์ เซรั่ม หลายตัวพร้อมกันในคราวก็อาจส่งผลให้ผิวหน้าหมองคล้ำได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากส่วนผสมบางชนิดอาจไม่ถูกกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพครีมตัวอื่นลดลง ทำให้เกิดหน้าหมองคล้ำได้ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล (Retinol) กับ AHA/BHA เนื่องจากสารทั้งสองตัวนี้มีฤทธิ์เป็นกรด หากใช้ร่วมกันสามารถทำให้ผิวของเราบางลง และไวต่อแสงแดด ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำ หรือเกิดการอักเสบของผิวหน้าได้ เป็นต้น
ปัจจัยภายใน
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่น อายุที่เพิ่มมากขึ้นการผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อขาดคอลลาเจน ผิวพรรณที่เคยเต่งตึง และอวบอิ่มจะเริ่มมีริ้วรอยมากขึ้น หย่อยคล้อย ความยืดหยุ่น และความชุ่มชื้นของผิวจะเริ่มลดลง ผิวหน้ามีฝ้า และกระเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงมีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำลงด้วย
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
การพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวของเราไม่สดใส ผิวดูหมองคล้ำ หากนอนหลับไม่เพียงพอยังมีโอกาสเกิดสิว หรือริ้วรอยได้ง่าย อีกทั้งการนอนหลับไม่สนิทนั้นยังทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวของเรามีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอีกด้วย
ผิวหมองคล้ำสุขภาพไม่ดีมีลักษณะแบบไหน
เหตุผลที่ทำให้ผิวหมองคล้ำลุกลามนอกจากหลายคนลืมสังเกตสุขภาพผิวหน้าของตัวเองแล้ว ยังเป็นเพราะเข้าใจว่าที่ผิวหน้าหมองคล้ำดูโทรมกว่าปกติ เกิดจากความเครียดชั่วขณะ หรือพักผ่อนน้อย กว่าจะรู้ตัวก็ถูกปัญหาผิวหมองคล้ำ สิว หรือริ้วรอยเล่นงานจนยากที่จะรักษา หากไม่หาวิธีแก้หน้าหมองค ล้ํา หรือเคล็ดลับหน้าใสไร้สิวในภายหลัง ควรหมั่นสังเกตผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาการที่เด่นชัดของปัญหาผิวหมองคล่ำที่สังเกตได้ไม่ยากคือ
- ใบหน้ามีสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- ผิวแห้งกร้าน ไม่ชุ่มชื่น
- ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน
การฟื้นฟู ผิวหน้าให้กลับมาขาวใสมีกี่วิธี
- ให้อาหารผิว บำรุงหน้าด้วยครีม และเซรั่ม
การทาครีม หรือเซรั่มบำรุงผิวรับว่าเป็นวิธี แก้ หน้า หมอง ค ล้ําที่ง่ายที่สุดในการดูแลผิวจากภายนอก ซึ่งถึงปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะทาครีม หรือเซรั่มบำรุงผิวกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ปัญหาผิวหมองคล้ำควรให้ความสำคัญ ทั้งการทำความสะอาดผิวหน้า และการเลือกครีมบำรุงผิว โดยแนะนำว่าต้องทำความสะอาดกำจัดสิ่งสกปรกบนใบหน้าทุกวัน และสครับเซลล์ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสครับประมาณ 1 – 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าควรเลือกใช้ครีม เซรั่ม หรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว อย่างเซราไมด์(Ceramide) กลีเซอรีน (Glycerin) ซอร์บิทอล (Sorbitol) กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) เลซิติน (Lecithin) สควาเลน (Squalane) เซราไมด์ (Ceramides) หรือ เชียบัตเตอร์ (Shea Butter) จะทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นมากขึ้น
- นอนให้พอ
คนที่ปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวโทรม ควรรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน จากที่เคยนอนดึก หรือนอนน้อยควรปรับมานอนในเวลา 20.00 – 22.00 น. และนอนอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องด้วยเวลานอนหลับเป็นเวลาที่ร่างกายได้รับการพักเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ และปรับการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ระบบฮอร์โมนเกิดความสมดุล พร้อมอารมณ์ที่ดีขึ้น เรียกว่าเป็นวิธีแก้หน้าหมองคล้ําที่ดีทั้งต่อร่างกาย และจิตใจ
- ดื่มน้ำบ่อยเยอะ ๆ
อีกหนึ่งเคล็ดลับหน้าใสไร้สิว และวิธีทําให้ผิวแข็งแรงไม่แพ้ง่ายที่ทุกคนควรให้ความสำคัญไม่แพ้การฟื้นฟูผิวจากแดดด้วยครีม หรือเซรั่มบำรุงผิวเนื่องด้วยมีการศึกษาวิจัยพบว่าการดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร ติดต่อกัน 30 วัน ทำให้ผิวกลับมาแข็งแรง และชุ่มชื้น จึงมีคำแนะนำว่าควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร เพื่อเพ่ิมความชุ่มชื่นให้ผิว และกระตุ้นการทำงานของระบบการไหลเวียนเลือด แต่ทั้งนี้ไม่ควรดื่มน้ำมากเกินไป เพราะจะส่งผลเสียกับการทำงานของไต
- สุขภาพจิตที่ดี
ต้องยอมรับว่าการกำจัดความเครียดเป็นเรื่องที่ทำได้ค่อนข้างยากสำหรับหลายคน เพราะปัจจุบันแค่ลืมตาตื่นความเครียดก็พร้อมเข้ามาปะทะได้ทุกวินาที ทั้งจากข่าวสาร การทำงาน และการดำเนินชีวิตประจำวัย แต่หากคนที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำอยากเลิกเครียด แนะนำให้เริ่มด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต อย่างการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามปรับตารางชีวิตให้ลงตัว และหมั่นฝึกจิตทำสมาธิเพื่อให้มีสติพร้อมรับมือกับความเครียด ซึ่งถ้าทำควบคู่ไปกับการฟื้นฟูผิวจากแดด และเคล็ดลับหน้าใสไร้สิวก็จะช่วยให้ผิวสุขภาพดีขึ้น
- งดการดื่มเหล้าสูบบุหรี่
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าเหล้า และบุหรี่มีผลเสียต่อระบบในร่างกายมากมายไม่เว้นแม้แต่เรื่องผิวพรรณ โดยสารนิโคตินในบุหรี่ และแอลกอฮอล์ในเหล้าส่งผลเสียต่อระบบร่างกาย ทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว และแสดงออกด้วยความหมองคล้ำ ผิวโทรม และเหี่ยวก่อนวัย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่มีผิวที่ดีกว่าผู้ที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่เป็นประจำ
-
เลเซอร์หน้าใส
การใช้คลื่นแสงที่มีความเข้มสูงไปจับกับเม็ดสีเมลานิน (melanin) เพื่อรักษาปัญหาผิว และฟื้นฟูผิวบริเวณที่ต้องการ โดยส่วนใหญ่ เลเซอร์หน้าใส จะเน้นใช้รักษาปัญหารอยแดง รอยดำ หรือจุดด่างดำที่เกิดจากสิวเป็นหลัก รวมถึงใช้ในการรักษาผิวเหี่ยวย่น มีริ้วรอย รูขุมขนกว้าง ลดความหมองคล้ำหรือปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ทำให้ผิวดูขาวใสขึ้นได้ ซึ่งในแต่ละปัญหาผิวก็จะมีการใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันไปโดยจะอยู่ที่ประมาณ 420-1200 nm (นาโนเมตร) นั่นเองค่
-
ทำหัตถการเมโสกัน (Meso Gun)
การฉีดเมโสหน้าใสเป็นการทำหัตถการแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำด้วยการฉีดแร่ธาตุเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลาง ซึ่งข้อดีคือ ช่วยแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำ แก้ปัญหาผิวโทรม กระตุ้นให้ผิวสุขภาพดีขึ้น และเห็นผลเร็วกว่าการทาครีม หรือเซรั่มบำรุงหน้า โดยเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด แต่วิธีนี้ต้องฉีดทุก 2 สัปดาห์เพื่อรักษาสภาพผิว
- ทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์เป็นการทำหัตถการแก้ปัญหาผิวหมองคล้ำด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิคแอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าไปยังชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งสารตัวนี้มีคุณสมบัติเก็บความชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น ลดริ้วรอย อิ่มน้ำ และดูสุขภาพดี สำหรับข้อดีของการฉีดฟิวเลอร์คือ เห็นผลชัดเจนภายใน 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานสุงสุด 12 เดือน
ที่ The VOGUE Clinic เรามีบริการ เมโสกัน (Meso Gun) ที่กำลังได้รับความนิยมของเหล่าสาว ๆ ที่ต้องการเผยผิวหน้าที่ใส แลดูขาวเนียนชวนสัมผัส ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง พร้อมดูแลให้คำปรึกษาตลอดจนกระบวนการรักษาเลยค่ะ
เมโสกัน (Meso Gun) ช่วยอะไรบ้าง
- เพิ่มความกระจ่างใส มีออร่าให้กับผิว
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ผิวดูโกลว์ ฉ่ำวาว
- ช่วยกระชับรูขุมขน ผิวดูอิ่มฟู สุขภาพดี
- ลดเลือนริ้วรอย ลดรอยดำรอยแดงจากสิว
- ฝ้า กระ และจุดด่างดำ แลดูจางลง ผิวดูใสขึ้น
- ปรับสภาพผิวให้แข็งแรงขึ้น ลดสิว และผดผื่นบริเวณใบหน้า
- กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว
เมโสกัน (Meso Gun) เหมาะกับปัญหาผิวแบบไหนบ้าง
- ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น แต่งหน้าแล้วไม่ติดทน
- มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือมีรอยดำรอย แดงจากสิว
- ผิวดูโทรม ไม่สดใส รูขุมขนดูกว้าง
- ปัญหาสิว มีผดผื่น หน้าดูไม่เรียบเนียน
- มีฝ้า กระ จุดด่างดำกวนใจ
เมโสกัน (Meso Gun) ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล
หลังทำหัตถการเสร็จก็จะเริ่มเห็นถึงผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที จะพบว่าผิวหน้าดูเปล่งปลั่งสดใสมากขึ้น และหลังจากทำไปประมาณ 3 วันก็จะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น โดยระยะที่เริ่มเห็นผลเต็มที่คือประมาณ 7-14 วัน หากต้องการให้ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องควรทำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หลังจากนั้นค่อยปรับจำนวนครั้งในการทำหัตถการเป็น2 อาทิตย์ ต่อ 1 ครั้ง ทั้งนี้ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการดูแลตัวเองของคนไข้ด้วยค่ะ
เมโสกัน (Meso Gun) VS เมโสหน้าใสต่างกันอย่างไร
การทำเมโสกัน (mesogun) คือการผลักวิตามินเข้าสู่ผิวโดยการใช้เครื่องมือที่มีความแม่นยำในการลงพลังงานสูง ที่สามารถกะระยะความลึกได้อย่างสม่ำเสมอทุกจุด นอกจากนี้ในการลงพลังงาน 1 ครั้งจะมีการลงเข็มทั้งหมด 9 เข็ม และเห็นผลได้มากกว่า ส่วนดารฉีดเมโสหน้าใสนั้น เป็นการทำหัตถการโดยมือแพทย์ อาจส่งผลให้การกะระยะห่าง รวมถึงความลึกของการฉีดไม่ส่ำเสมอนั่นเองค่ะ
วิธีดูแลตัวเองหลังทำเมโสกัน
- ไม่ควรนวดผิวบริเวณที่ทำทันที
- หลังทำ 4-6 ชั่วโมงห้ามล้างหน้า เพื่อให้ผิวดูดซับตัวยาได้อย่างเต็มที่
- งดทาครีมบำรุงผิว 1 คืน เพราะผิวได้รับสารอาหารเต็มที่แล้ว
- เลี่ยงการโดนแสงแดดแรง ๆ เป็นเวลา 1 สัปดาห์
- หากมีรอยแดง รอยช้ำ สามารถประคบเย็นได้ และรอยจะค่อย ๆ หายไปภายใน 1-3 วัน
ข้อดี-ข้อควรระวังของการทำเมโสกัน (Meso Gun)
ข้อดี
- หลังทำสามารถใช้ชีวิต ทำกิจกรรมได้ตามปกติ โดยไม่ต้องพักฟื้น
- เห็นผลได้ไว หลังทำพบว่าผิวดูสุขภาพดี ผิวดูละเอียดมากขึ้น กว่าการทาครีมบำรุงผิวปกติ
- ผิวแข็งแรงขึ้น ลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้า
- ลดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแดงรอยดำจากสิว
- กระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่
- หลังทำจะช่วยให้แต่งหน้าได้ง่ายขึ้น เครื่องสำอางติดทน ไม่ตกร่อง
ข้อควรระวัง
- ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร ดังนั้นจำเป็นต้องกลับมาทำหัตถการซ้ำบ่อย ๆ เพื่อคงสภาพผลลัพธ์ให้ยาวนาน
ฉีด Meso gun (เมโสกัน)ที่ไหนดี
หากใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาผิวในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ริ้วรอย ฝ้า กระ ลดรอยดำรอยแดงจากสิว รู้สึกว่าการทาครีมบำรุงปกดินั้นเห็นผลลัพธ์ได้ช้า ผิวยังดูไม่ค่อยสดใส สุขภาพผิวยังไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามการทำเมโสกัน (Meso Gun) จะช่วยให้ผิวดูสุขภาพดี ฉ่ำวาว และยังช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุดอีกด้วย
ในส่วนของการเลือกทำหัตถการเมโสกันนั้น ต้องพิจารณาตัวเครื่องที่ใช้ทำหัตถการ ว่าเครื่องนี้สามารถกระจายตัวยา หรือวิตามินได้อย่างทั่วถึง หรือไม่ นอกจากนี้ควรดูเรื่องของสูตรวิตามินที่ต้องใช้ด้วยต้องเป็นสูตรที่มีคุณภาพ เหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ดังนั้นในเรื่องของการทำหัตถการจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหา และแนวทางการรักษาสภาพผิวของคนไข้
คำถามยอดฮิตที่พบบ่อย
Q:เมโสกัน (Meso Gun)มีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่
A:หลังทำจะมีรอยเข็มเป็นจุดแดงๆ และจะหายเองภายใน 4 – 5 วัน สามารถแต่งหน้าเพื่อปกปิดได้ จะไม่มีบาดแผลลึกหรือทิ้งรอยแผลเป็นใด ๆ บนใบหน้าคนไข้ค่ะ เพราะเมโสกัน (Meso Gun) เป็นเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานสามารถควบคุมความลึก ปริมาณ และจังหวะการฉีดได้ดีกว่าการใช้เข็มธรรมดาค่ะ
Q:เมโสกัน (Meso Gun)ได้ผลดีแค่ไหน
A:ต้องบอกก่อนเลยว่าขึ้นอยู่กับตัวยาที่เลือกใช้ค่ะ หากต้องการให้ผิวหน้าผ่องใส แนะนำให้เลือกใช้ควบคู่ไปกับวิตามินซี กรดวิตามินเอ ฉีดเข้าใบหน้า ตัวยาจะออกฤทธิ์ได้ดีในชั้นผิวหนัง แต่จ้อเสียคือเจ็บตัว ที่สำคัญสำหรับใครที่ผิวบอบบาง เส้นเลือดฝอยขยาย เมื่อเข็มจิ้มเข้าไปอาจทำให้เส้นเลือดฝอยแตก กลายเป็นรอยฟกช้ำ กว่าจะหายก็ใช้ระยะเวลาเป็นเดือนเลยค่ะ
รีวิวลูกค้า